วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เขาหรือเราที่เปลี่ยนไป

ความรัก

เขาหรือเราที่เปลี่ยนไป (ใยไหม)

          คุณเคยถามตัวเองดูไหมว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันนะ...ที่จะสามารถเรียนรู้และมั่นใจในคนรักของเราได้ 

          บางคนอาจบอกว่าต้องใช้เวลานานพอสมควรที่เดียวล่ะ ถึงจะตัดสินใจได้ว่า คุณและเขาไปกันได้ด้วยดีหรือเปล่า แต่สำหรับบางคน...อาจตอบว่า "เวลา" ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญเลย ที่เราจะตัดสินใครคนใดคนหนึ่งได้ทั้งหมด บางทีเวลาแค่น้อยนิด ที่ได้ทำความรู้จักกัน ก็ทำให้เขาสามารถตอบตัวเองได้แล้วว่า คน ๆ นี้นี่ล่ะ คือคนที่ตัวเองอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต 

          ในความคิดเห็นส่วนตัว ฉันรู้สึกเห็นพ้องด้วยเช่นกันว่า "เวลา" ที่มากหรือน้อย อาจไม่ได้มีผลให้เรารู้จักเขาคนนั้นมากขึ้นเสมอไป แถมบางครั้งยังเชื่อในคำพูดเหน็บแนมแกมตลกที่เคยได้ยินมาอีก

          "คนที่คุณรักนั้น จะกลายเป็นคนใหม่ไปทันที ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังคืนแต่งงาน…!"

          นั่นแปลว่า เวลาที่เราใช้ศึกษากันและกันมาก่อนหน้านั้น อาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ เคยอ่าน Forwarded mail ชิ้นหนึ่ง พูดถึงองศาที่แตกต่างระหว่างผู้หญิง และผู้ชายในทำนองว่า ความรักของผู้ชายเริ่มต้นด้วยคะแนนเต็มร้อย ในขณะที่ความรักของผู้หญิงเริ่มต้นจากศูนย์...เมื่อผู้ชายเริ่มรักผู้หญิงของตัวเอง ทุกอย่างที่เป็นเธอจะดูสวยงามและเพียบพร้อม ไม่มีอะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่พอใจ 

          วันเวลาผ่านไป...เมื่อความเคยชินเข้ามาแทนที่ สิ่งที่เห็นอยู่ทุกวัน อาจกลายเป็นสิ่งน่ารำคาญ เธอไม่สวยงามและไม่น่าทะนุถนอมเหมือนแต่ก่อน ทำไมเวลาจับต้องเธอแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิม ทำไมนิสัยไม่ดีของเธอ ถึงได้ผุดขึ้นมามากมายแบบนี้ เขารับเธอไม่ได้อีกต่อไป และทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของเธอ 

          ...ในขณะที่ความรักของผู้หญิงเริ่มต้นจากศูนย์ เขายังมีสิ่งที่เธอคิดว่าเธอไม่ชอบ ทุกอย่างของเขาก็ไม่ได้น่าประทับใจนัก แต่เมื่อเธอตัดสินใจลองคบหาเพื่อที่จะศึกษาสิ่งดีในตัวเขา เวลาผ่านไป...ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดบนโลกนี้ คะแนนที่มากมายมันเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร ถึงขั้นนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาช่างดูดี และน่าหลงใหล จนรู้สึกว่าเขาแทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวในชีวิต ที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ เธอพร้อมจะสละทุกอย่างที่มี...เพื่อจะทำให้เขาและเธอได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

          วันนี้...ความรักของเธอเกินร้อย ในทางกลับกัน ความรักของเขากลับลดลงจนเหลือศูนย์ ความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจของคนทั้งคู่ ที่เหมือนกันคือคำถามที่ว่า...ทำไม อีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไป

          หากมองประเด็นนี้ว่า ตัวแปรอยู่ที่ "ความเปลี่ยนแปลง" แล้วฉันคิดว่า คงเร็วเกินไปที่จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คนเรานั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และนี่คือสัจธรรมที่แท้จริงบนโลกใบนี้เสียด้วย

          "หัวใจ" ของคนก็เป็นแค่ก้อนเนื้อเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ถ้าจะให้เปรียบก็คงเหมือนกับของเหลว ที่สามารถแปรเปลี่ยนได้เสมอตามภาชนะที่ใส่มัน หัวใจที่มีความรัก อาจมีพลังแฝงทำให้เรายอมรับได้กับทุกเรื่องก็จริง แต่บางทีเราอาจไม่รู้ว่า ที่บอกยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้นั้น...อาจไม่ใช่ และไม่ได้เกิดจากการที่เราสามารถปรับตัวได้อย่างแท้จริง ตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะความบังเอิญเราได้ "มองข้าม" สิ่งเหล่านั้นไปมากกว่า 

          เพราะความใหม่...ความสวยงาม..น่าหลงใหล มาบดบังความเป็นจริงไปหมด แต่เมื่อความเคยชินเข้ามาแทนที่ ความใหม่กลายเป็นความเก่า ความสวยงามน่าหลงใหล กลายเป็นความเบื่อหน่าย...เดิม ๆ เราจึงยอมพาตัวเองกลับมาสู่ตัวจริงเสียงจริงที่เป็นเรา และอดที่จะตั้งคำถามอีกครั้งไม่ได้ว่า...ทำไม...ทำไม...และทำไม

          แต่ถ้าจะมองความแตกต่างของชายและหญิง โดยอาศัยข้อมูลที่ผ่านการวิจัยมาบ้าง เราอาจต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า ความแตกต่างเหล่านี้...บางทีมันก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นจากธรรมชาติด้วยเช่นกัน ปกติแล้วสำหรับผู้หญิงเรานั้น มีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักได้ช้ากว่าผู้ชายอยู่แล้ว จากการศึกษาของนักมานุษยวิทยาอเมริกัน มีข้อมูลที่ระบุว่า ผู้ชายมักจะตกหลุมรักได้เร็วกว่าผู้หญิง ทั้งนี้ เป็นเพราะพวกเขาใช้สายตาได้ดีกว่า และระบุได้อย่าวรวดเร็วว่าอะไรที่ตัวเองต้องการ ในขณะที่ผู้หญิงจะระมัดระวังมากกว่า เนื่องจากพวกเธอเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งท้องให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร และนี่ก็คงเป็นพิมพ์เขียวทางพันธุกรรมที่สำคัญชิ้นหนึ่ง ที่เราน่าจะต้องรู้ไว้ด้วยเช่นกัน 

          ในความเป็นคนรักนั้น นอกเหนือจากการสื่อสารที่ดี และการปรับตัวเข้าหากันแล้ว ฉันเชื่อว่า...หากเราลดความคาดหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป เราคงมีช่องว่างระหว่าง "ความเป็นจริง" กับ "ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ" ไว้ให้พัฒนาความสัมพันธ์ได้อีกมาก 

          การลดความคาดหวังนี้ หมายถึงการยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ในกรณีที่เขามีบางอย่างที่ปรับตัวเองไม่ได้ เหมือนน้ำที่ยังไม่เต็มแก้ว และเราก็ต้องอยากให้ปริมาณของน้ำเพิ่มขึ้น ๆ แต่น้ำก็ไม่เพิ่มขึ้นสักที ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่น้ำน้อยเกินไป แต่อาจอยู่ที่เราใช้แก้วใหญ่เกินไปก็ได้ ถ้าเราลดขนาดของแก้วแห่งความคาดหวังให้พอดีกับน้ำที่มีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ความสุข และความรักที่กำลังก่อร่างสร้างอยู่ กลายเป็นเรื่องเดียวกัน...แม้จะมีคำกล่าวว่า

          "การได้มานั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ การรักษามีมันเอาไว้"

          แม้จะเป็นความจริง...แต่ฉันก็เชื่อว่า ยังมีวิธีที่จะดูแลรักษาความรักนั้นให้อยู่กับเรานาน ๆ เช่นกัน มีคำพูดเปรียบเทียบการที่คนสองคนไม่สามารถเข้าใจกันและกันได้นั้น เป็นเพราะในจิตใจเขามัวแต่สร้าง "กำแพง" แทนที่จะสร้าง "สะพาน" แต่ก็คงจะมีบ้างที่เราอาจเคยรู้สึกว่า...ไม่ยุติธรรม หากเราต้องเป็นสะพาน เพื่อคอยเชื่อมไปหาอีกฝ่ายหนึ่งข้างเดียวตลอดเวลา ในทีนี้ คำว่า "สะพาน" จึงอาจไม่ใช่ความหมายที่ดีที่สุด เพราะมันยังมีนัยของความแบ่งแยกกันระหว่างฝั่งสองฝั่ง แต่ถ้าเราจะนำมันมาเชื่อมโยงกับสัมพันธภาพระหว่างคนสองคนแล้ว และสองฝั่งหมายถึงความแตกต่างระหว่างเรากับเขา 

          เมื่อเราต่างสมัครใจเรียกกันว่า "คู่รัก" แล้ว นั่นก็หมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งไม่ใช่สอง หากเรายินดียอมรับและให้อิสรภาพกับสิ่งที่ไม่ใช่เรา หรือแตกต่างออกไปบ้าง มันก็จะไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ความแตกต่าง" เลย แต่เราจะเรียกมันใหม่ว่า "อีกส่วนหนึ่ง" ของชีวิต หรือ "ประสบการณ์ใหม่" ของเราเท่านั้น และเราคงไม่ใช่สะพานอีกต่อไป...แต่จะเป็นปลาที่สามารถแหวกว่าย จากน่านน้ำหนึ่งไปอีกน่านน้ำหนึ่ง ได้อย่างสะดวกสบาย 

          ชีวิตคนเรานั้น มีทั้งช่วงเวลาที่ยาก และง่าย ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา แต่ทั้ง "ความง่าย" และ "ความยาก" เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เริ่มต้น และจบลงได้ที่ "ใจ" ของเราเองทั้งนั้น ในทฤษฎีของความรักก็เช่นกัน...การที่เราได้เรียนรู้และเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้งนั้น ย่อมหนีไม่พ้นเงื่อนไขเดียวกันกับที่ได้กล่าวมาแล้ว 

          **ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ ปาฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของ ติช นัท ฮันห์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ : หาเหตุผลให้ความรัก
เขียนโดย : ปูปรุง




สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น