วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

กินให้ดี บำรุงสมอง

อาหารเพื่อสุขภาพ


มารู้จักกินดีช่วยตัวเอง (ไทยโพสต์)

          การกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองจะช่วยให้คนเรามีความจำดี สติปัญญาแจ่มใส และมีอารมณ์ดี สมองของคนเรามีน้ำหนักแค่ 3 ปอนด์ ซึ่งเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว แต่สมองต้องใช้พลังงานถึง 20 แคลอรีที่ร่างกายได้รับ

          ต่อไปนี้เป็นคุณค่าของโภชนาการที่มีต่อสมอง พร้อมกับแนะนำอาหารที่เป็นคุณและเป็นโทษ

สมาธิดี

          การมีสมาธิดีจะเกิดได้ต่อเมื่อข้อมูลต่าง ๆ สามารถไหลเวียนโดยสะดวกระหว่างเซลล์ทั้งหลายภายในสมอง

          เซลล์เหล่านี้ต้องการออกซิเจนในการทำงานและส่งข้อมูล ออกซิเจนจะได้จากน้ำตาลในเลือด การได้รับแคลอรีอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอตลอดทั้งวัน เป็นขั้นแรกที่จะทำให้เรามีสมาธิและตื่นตัว เซลล์ต้องใช้พลังงานในการสร้างข้อมูลและส่งข้อมูลไปยังเซลล์อื่น ๆ

          ข้อมูลจะถูกส่งผ่านใยประสาท เส้นใยเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายสายส่งไฟฟ้า และใยเหล่านี้ต้องมีฉนวนหุ้มเพื่อให้ข้อมูลไหลผ่านไปได้ สมองจำเป็นต้องได้รับไขมันที่ชื่อ ไมลิน ในการสร้างฉนวนที่ว่านี้

          น้ำมันโอเมกา-ทรี (พบในปลาที่มีไขมันสูง วอลนัต ฟักทอง และเมล็ดป่าน) ช่วยสร้างและรักษาไมลิน จึงเห็นได้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาช่วยให้เด็กมีสติปัญญาดี แม้มีรายงานวิจัย บางชิ้นโต้แย้งในเรื่องนี้

          ข้อแนะนำ กินอาหารให้สม่ำเสมอ วันละ 3 มื้อ ช่วยให้มีสมาธิดี กินเมล็ดวอลนัตและเมล็ดพืชต่าง ๆ

 อารมณ์ดี

          อารมณ์ของคนเราเกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เป็นกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองต่าง ๆ ข้อมูลจะถูกนำพาไปในระหว่างเซลล์โดยสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท สารนี้มีบทบาทสำคัญต่ออารมณ์

          สารสื่อประสาทที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ โดพามีน ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี ระดับโดพามีนที่สูงขึ้นทำให้คนเรารู้สึกกระตือรือร้น ถ้าลดต่ำลงก็จะรู้สึกอ้างว้าง เศร้า รำคาญ และเบื่อหน่าย

          อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลทำให้มีโดพามีนสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าโดพามีนขึ้นเร็วก็จะลงเร็ว ดังนั้นควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูง

          อีกวิธีในการสร้างโดพามีนอย่างต่อเนื่อง และรักษาอารมณ์ให้ดีไว้เสมอ คือทำให้สมองได้รับโมเลกุลที่ชื่อ ฟีนิลาลานีน ซึ่งสมองใช้ในการผลิตโดพามีน โมเลกุลที่ว่านี้พบได้ในหัวบีต ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ไข่ เนื้อ และเมล็ดธัญพืช

          แต่ถ้าต้องการทำให้อารมณ์ดีแบบฉบับพลัน ช็อกโกแลตสามารถเพิ่มโดพามีนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีโมเลกุลของไขมันที่ชื่อ อานันดาไมน์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสารที่พบในกัญชา

          สารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่ง คือ ซีโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกสงบและพึงพอใจ คลายกังวล ของขบเคี้ยวที่มีคาร์โบไฮเดรต จะช่วยเพิ่มระดับซีโรโทนินได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้รู้สึกง่วงนอนด้วย ฉะนั้นต้องรักษาระดับให้สม่ำเสมอจะเป็นการดีกว่า

          ในการผลิตซีโรโทนินนั้น สมองต้องการสารทริพโทแฟน ซึ่งพบในไข่และเนื้อ อาหารเช้าที่เป็นเบคอนกับไข่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารสร้างซีโรโทนินชนิดนี้

          แอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกัน เพราะช่วย กระตุ้นการผลิตโดพามีน อย่างไรก็ดี ถ้ากินมากก็จะเมาค้าง อารมณ์ไม่ดี ถ้ากินมากติดต่อกันนาน ๆ ก็จะทำลายเซลล์สมอง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความจำ

          ข้อแนะนำ กินเบคอนกับไข่เป็นอาหารเช้า ช่วยให้อารมณ์ดีตลอดวัน อัลมอนด์กับถั่วแระก็ดีเหมือนกัน

 จิตใจแจ่มใส

          กาแฟชนิดมีกาเฟอีนเป็นยาแก้ง่วงตำรับคลาสสิก แต่ต้องกินแต่พอเหมาะ เพราะมีฤทธิ์ต่อเซลล์รับสัญญาณในสมอง

          ฤทธิ์ดังกล่าวจะดูดซึมสารชนิดหนึ่งที่สั่งปิดการนำไฟฟ้า ทำให้เรารู้สึกงัวเงีย กาเฟอีนจะยับยั้งสารนี้ ทำให้เซลล์สมองกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้เรารู้สึกมีเรี่ยวแรง

          แต่ถ้ากินกาแฟมากไปก็จะทำให้รู้สึกวิตกกังวล เพราะต่อมพิทูอิทารีที่ใต้สมองจะตีความคึกคักที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็นสัญญาณ ของเหตุฉุกเฉิน

          จากนั้นมันจะสั่งให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน ฉะนั้น แม้ตอนแรกจะรู้สึกตื่นตัว สมองทำงานดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่ก็จะรู้สึกวิตกกังวล ทำให้ไม่สามารถคิดอ่านอะไรได้อย่างแจ่มใส ฉะนั้น กินกาแฟแค่แก้วเดียวก็พอ

          คาร์โบไฮเดรตก็ช่วยสร้างพลังงานได้ เพราะช่วยให้เราได้รับกลูโคส แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนอินซูลินออกมาด้วย ซึ่งทำให้รู้สึกสะลึมสะลือ

          ข้อแนะนำ เอสเปรสโซสักแก้วช่วยให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ากินสองแก้วจะทำให้วิตกกังวลและสมองไม่แล่น

 ความจำดี

          ความสามารถในการจดจำนั้น ขึ้นกับการที่เซลล์สมองผลิตจุดเชื่อมต่อใหม่ ๆ ได้ สมองจะจดจำได้ดีเมื่อเกิดการกระตุ้น ซึ่งนี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงสามารถจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีเมื่อเราถูกกระตุ้นในทางอารมณ์ความรู้สึก หรือในทางสติปัญญา

          ตัวนำสารในสมองที่ทำให้สมองถูกกระตุ้นคือ อะซีทิลคอไลน์

          ยาที่ทำให้เกิดผลเหมือนกับผลจากสารเคมีนี้ จะกระตุ้นความจำในคนไข้ที่เป็นโรค อัลไซเมอร์ สารเคมีนี้ประกอบด้วยคอไลน์ ซึ่งพบในไข่ ตับ และถั่วเหลือง

          ผักต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลี บร็อกโคลี และกะหล่ำดอก ก็ช่วยให้มีความจำดี

          ข้อแนะนำ ไข่ช่วยให้มีความจำดี ควรกินอย่างสม่ำเสมอ

 ควบคุมความอยากอาหาร

          เวลาคนเราวิตกกังวล ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อ กลูโคคอร์ติซอยด์ ซึ่งทำให้สมองต้องหาทางผ่อนคลายความเครียด อาหารจำพวกหวานมันจะช่วยได้

          งานวิจัยหนูทดลองที่มีฮอร์โมนความเครียดสูงพบว่า พวกมันจะกินน้ำหวานและกินน้ำมันหมู ผลระยะสั้นคือ ฮอร์โมนความเครียดลดลง รู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้ากินตามใจปากก็จะทำให้อ้วน

          ในระยะยาว การได้รับน้ำตาลซ้ำ ๆ ซาก ๆ จะเปลี่ยนวิธีที่สมองตอบสนอง คือ ร่างกายจะต้องการของกินแบบนี้เพิ่มขึ้น ฉะนั้นจะเกิดการเสพติดเหมือนการติดยา

          วิธีเดียวที่จะป้องกันความอยากอาหารแบบนี้ได้ก็คือ หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้รู้สึกอยากอาหาร วิธีหลีกเลี่ยงก็คือหันไปใช้วิธีอื่นในการสร้างโดพามีน เช่น อ่านหนังสือ

          ข้อแนะนำ ทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยสร้างโดพามีน เช่น ออกกำลังกาย เข้าสังคม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ไดเอทแบบสาวคิดบวก

ผู้หญิงคิดบวก

ไดเอทแบบสาว "Positive Thinking" (Woman Plus)
เรื่อง : Opal, Moonlight

          ถ้าคุณสาว ๆ อยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงปรับโฉมตัวเอง ให้กลายเป็นสาวสวยหุ่นดี แบบที่หนุ่ม ๆ ต้องเหลียวหลังหันมามอง คุณต้องเริ่มต้นจาก "เปลี่ยนแปลงวิธีคิด" เพราะการไดเอท หรือลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี นอกจากจะไม่ช่วยคุณดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงตามไปด้วย

1.Relax 

          ไม่ว่าคุณสาว ๆ จะรู้สึกตกใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักมากแค่ไหนก็ตาม หยุดความคิดนั้นซะ! เพราะยิ่งคุณกังวลกับเรื่องนี้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ้วนมากเท่านั้น ฉะนั้นอย่างแรกที่ต้องทำคือ "ผ่อนคลาย" เมื่อสมองของคุณไม่มีเรื่องต้องกังวล คุณก็จะสามารถจัดการกับปัญหาเรื่องน้ำหนักของคุณได้ง่ายขึ้น

2.Don't rush

          จำไว้เสมอว่า "ไม่วิธีการไดเอทแบบไหน ที่จะช่วยรีดไขมันของคุณออกไปได้ในชั่วข้ามคืน" เพราะความช้า เร็วในการลดน้ำหนักขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบ ๆ ตัวหลายอย่าง อาทิ การใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณ มีความเครียด หรือความกังวลมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น ทางที่ดีค่อย ๆ ให้มันเป็นไปทีละขึ้น และพยายามอย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป

3.Organic Food

          อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่า อาหารราคาแพงสูตรพิเศษสำหรับไดเอท จะทำให้คุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้ดีเท่านั้น เพราะความเป็นจริงแล้ว แค่คุณเลือกกินอาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่ง หรือ "อาหารออแกนิค" ก็เท่ากับคุณได้กินอาหารไดเอทเช่นกัน ไม่แน่นะ คุณอาจจะได้ตำแหน่งสาวเฮลตี้ตามมาด้วย

4.By yourself

          ลืมไปได้เลย! ถ้าจะฝากความหวังไว้กับยาเม็ดกลม ๆ ที่อวดสรรพคุณว่าช่วยคุณลดน้ำหนักได้ดีเยี่ยม เพราะสุดท้ายแล้ววิธีการไดเอทที่ได้ผลดีมากที่สุดก็คือ "ตัวคุณเอง" ที่ต้องรู้จักควบคุม และฝึกนิสัยการกินของคุณให้ถูกวิธี รับรองว่า คุณจะไม่มีทางกลับมาเป็นสาวอวบอ้วนอีกแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

กิน ๆ อด ๆ แต่ลดน้ำหนักฉลุย

ไดเอ็ต

กิน ๆ อด ๆ แต่ลดน้ำหนักฉลุย (Lisa)

          การไดเอ็ตที่สลับหนึ่งวันกินกับหนึ่งวันอด เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมในการลดไขมัน และได้รับการพิสูจน์แล้วในทางวิทยาศาสตร์

Q การไดเอ็ตแบบสลับวัน (Alternating Day Diet) ต้องทำยังไงบ้าง

           A : มันง่ายมาก เป้าหมายสำคัญก็คือมีหนึ่งวัน ที่คุณกินน้อยลงหรือ "วันอด" (Down Day) โดยควรให้ตัวเลือกในการกินของคุณมีน้อยลง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับอาหารที่ต้องกินมีแนวโน้มที่จะโกงน้อยลง และในไม่ช้าก็จะเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างความหิวที่แท้จริง และความปรารถนาที่จะ "ตามใจปาก" หรือความอยากกินเนื่องจากอารมณ์ ส่วน "วันกิน" (Up Day) ก็แล้วแต่คุณ คุณสามารถกินในสิ่งที่คุณกินได้ตามปกติ ตราบเท่าที่ยังรักษาปริมาณแคลอรีให้ต่ำเอาไว้ในวันอด

Q เราสามารถกินได้กี่แคลอรีในแต่ละวัน

           A : ไดเอ็ตนี้แบ่งเป็นสองระยะ ช่วงเริ่มต้นและช่วงประคับประคอง ช่วงเริ่มต้นกินเวลาสองสัปดาห์ โดยจะเป็นการสลับระหว่างการกินตามปกติของคุณ กับการกินเพียงแค่ 4-500 แคลอรี หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีที่ผู้หญิงที่น้ำหนักเกินโดยทั่วไปจะกินกัน ถ้าคุณกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีตามปกติแบบสลับวันกัน คุณก็จะลดการบริโภคแคลอรีลงโดยเฉลี่ยวันละ 40 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าคุณจะกินเพียงแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ของที่คุณกินตามปกติ ซึ่งตัวเลขนี้ได้รับการบ่งชี้จากการศึกษาหลายชิ้นว่ามีประสิทธิภาพอย่างมาก ในการยืดอายุของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์

          หลังจากสองสัปดาห์แรก คุณจะเข้าสู่ระยะของการประคับประคองน้ำหนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าการลดน้ำหนักของคุณ ในวันอดคุณจะกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เท่าเดิมก็ได้ หรืออาจเพิ่มเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนจำนวนมากพบว่า มันทำตามได้ง่ายกว่า ในระยะยาว โดยยังลดน้ำหนักได้อยู่

          เมื่อคุณลดน้ำหนักได้มากเท่าที่ต้องการแล้ว คุณสามารถรักษาน้ำหนักไว้ได้ด้วยการกิน 50-60 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีในวันอด หรือไม่ในวันกิน ก็อาจพยายามหลีกเลี่ยงอาหารอ้วน ๆ อย่างไขมันทรานส์ไขมันแบบอิ่มตัว หรือเกลือและน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และเมื่อคุณเฉลี่ยปริมาณแคลอรีในวันกินกับวันอดแล้ว ปริมาณแคลอรีก็จะออกมาเป็นปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ และมากพอสำหรับการลดน้ำหนัก

Q เราจะทำยังไงถึงจะทำตามวิธีการนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง

           A : มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากสองสามวัน รูปแบบการกินแบบขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้จะสร้างนิสัยในจิตใต้สำนึกของคุณ ซึ่งจะกดความคิดเกี่ยวกับความหิวเอาไว้ได้ เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อในการเล่นกีฬานั่นแหละ และการที่มีวันซึ่งตามใจปากได้ คุณจะไม่รู้สึกอดอยากแบบเดียวกับ ที่มักจะเกิดขึ้นกับการไดเอ็ตแบบอื่น เพราะวันตามใจปาก คือหลักประกันว่า ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในวันนี้ คุณสามารถกินได้เสมอในวันพรุ่งนี้ และถ้าคุณยืดการกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีตามปกติ ในวันอด คุณต้องกินมากขึ้นถึง 180 เปอร์เซ็นต์ ในวันกิน เพื่อที่จะให้ผลออกมาเสมอกัน ซึ่งนั่นไม่ค่อยเกิดขึ้นได้

Q ไดเอ็ตแบบนี้ทำงานอย่างไร

           A : วันหนึ่งอด วันหนึ่งกิน ฟังดูง่ายมาก และในทางปฏิบัติง่ายมากจริง ๆ แต่ตามคำบอกเล่าของ ดร.เจมส์ บี จอห์นสัน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Alternate-Day Diet มันมีวิทยาศาสตร์รองรับอยู่เบื้องหลังซึ่งได้รับการวิจัยมาอย่างดี นั่นก็คือเมื่อเซลล์ต้องเจอกับความเครียด เช่น ความร้อนจัดหรือความอดอยาก ถ้ามันไม่ตายก็จะเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis หรือการตายของเซลล์ แต่ในวงจรของการกินๆ อดๆ ยีนที่ชื่อ SIRT1 จะถูกกระตุ้น มันไม่เพียงแต่หยุดการทำงานของโปรตีนที่ทำให้เกิดกระบวนการ Apoptosis และยับยั้งการสะสมไขมันด้วยการปิดสวิตซ์ของยีนซึ่งทำหน้าที่สะสมไขมัน มันยังช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์ด้วย

          ผลนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในการศึกษาโดย นักวิจัยที่ National Institute of Health ของสหรัฐฯ ซึ่งแบ่งหนูทดลองเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งสามารถกินเท่าที่อยากกิน และอีกกลุ่มจะได้รับอาหารวันเว้นวัน ผลก็คือ กลุ่มที่กินวันเว้นวันมีอายุยืนกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และในการศึกษาเพิ่มเติมของนักวิจัยกลุ่มเดียวกัน หนูที่อยู่ในวงจรกินวันอดวันสามารถลดน้ำหนัก ลดระดับกลูโคสและอินซูลิน และเพิ่มแรงต้านต่อความเครียดได้แบบเดียวกับคนที่ไดเอ็ตทุกวัน

          ในมนุษย์ก็เป็นแบบเดียวกัน การศึกษาของ Pennington Biomedical Research Center ในลุยเซียนาพบว่า ผู้ใหญ่ 16 คนซึ่งให้สลับวันกินกับวันอดเป็นเวลาสามสัปดาห์ ทุกคนต่างลดน้ำหนักได้อย่างมากและสามารถรักษาไม่ให้กลับมาได้ด้วย

          แต่การลดน้ำหนักเป็นแค่ประโยชน์อย่างเดียว จากการกระตุ้น SIRT1 นอกเหนือจากการลดคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มพลังงาน และมีโอกาสในการทำให้อายุยืนขึ้น ยีน SIRT1 ยังแสดงให้เห็นว่าสามารถต่อสู้โรคที่เกิดจากอาการอักเสบเรื้อรัง เช่น หอบหืด ได้ด้วย

กลยุทธ์สำหรับช่วงเริ่มต้นในวันที่ต้องอด

           1.ในวันที่ต้องอดระหว่างสองสัปดาห์แรกของการเริ่มต้น ดื่มโปรตีนเชคหรือเครื่องดื่มแทนอาหาร ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ที่จะได้รับ 500 แคลอรีจากการกินผัก ผลไม้ และโปรตีนเท่านั้น แต่เครื่องดื่มจะมีประโยชน์มากกว่า มันมีการชั่วตวงมา แล้วจึงสามารถกำหนดได้แน่นอนว่าจะได้รับแคลอรีเท่าไหร่ และมันยังเสริมวิตามินและแร่ธาตุไว้ด้วย พกพาสะดวก และสามารถจิบได้เรื่อย ๆ เวลาหิว

           2.เมื่อคุณคิดว่าต้องกิน รอสักสองสามนาทีก่อนจะหยิบอาหารมาใส่ปาก ความหิวจะเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ ทุกสองถึงสามชั่วโมงและโดยปกติจะกินเวลาราว 15-20 นาที

           3.ดื่มน้ำซึ่งปราศจากแคลอรีเยอะ ๆ ชาเขียว ชาดำ หรือกาแฟก็ได้ แต่ระวังด้วยว่ากาแฟสองสามถ้วย อาจช่วยลดความหิวด้วยการเพิ่มน้ำตาลในเลือดได้ชั่วคราว แต่กาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้นอนไม่หลับ

           4.การกินตามอารมณ์มักมีมากที่สุดตอนกลางคืน ฉะนั้น พยายามติดต่อกับเพื่อน ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยนักจิตวิทยาชาวแคนาดา ดร.เจน บลูอิน บอกว่างานวิจัยของเธอแสดงว่า คนเรามันมีแนวโน้มที่จะกินจุบกินจิบระหว่างสองทุ่มถึงสี่ทุ่ม เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนเรารู้สึกเปราะบางที่สุด ผู้หญิงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อนในตอนนั้น ฉะนั้น เมื่อเหนื่อยเธอก็จะอยากนอนหรือไม่ก็กินเพื่อเพิ่มพลังงาน

กลยุทธ์ของช่วงรักษาน้ำหนัก

           1.จดไดอารี่อาหาร ระยะนี้เป็นช่วงที่จะกินมากขึ้น ในวันอด แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงว่าคุณจะเริ่มหาเหตุผลและหลอกตัวเองว่า คุณกินเข้าไปจริง ๆ เท่าไหร่ ถ้าน้ำหนักเริ่มไม่ลดมันอาจ เพราะคุณกินแคลอรีมากไปในช่วงวันอดโดยไม่รู้ตัว การจดสิ่งที่กินเข้าไปจะช่วยได้

           2.อย่าทำเกินเลยไป ถึงแม้คุณจะอยากควบคุมแคลอรีในวันกินเพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากขึ้น แต่มันอาจนำไปสู่การลดลงของระบบเผาผลาญในระยะยาวก็ได้ ในอีกทางหนึ่งก็อย่ากินแบบยัดทะนานจนเกินไปในวันกิน ความสมดุลคือหัวใจสำคัญ

           3.ในวันที่อด กินผักที่ไม่ใช่แป้งเยอะ ๆ เช่น แอสพารากัส ถั่ว กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ เห็ด มะเขือม่วง ผักโขม และพริก รวมทั้งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น เต้าหู้ เนื้ออกไก่ ไข่ขาว ปลา และไก่งวง ในวันอด ควรมีปริมาณที่พอทนได้ อย่างเช่น ถ้าปกติคุณกิน 2,000 แคลอรี วันอดก็ควรกินประมาณ 400 แคลอรี หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนปกติ แต่ถ้าคุณเห็นว่าเข้มงวดเกินไป ก็อาจเพิ่มเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ หรือ 700 แคลอรี หรืออาจเป็นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1,000 แคลอรีก็ได้ แต่จำไว้ว่าการกินยิ่งน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นในการกระตุ้นยีน SIRT1

           4.ถ้าคุณห่วงว่าการนับแคลอรีอาจไม่ถูกต้อง ก็ลองแทนที่มื้ออาหารสักหนึ่งมื้อด้วยโปรตีนเชค
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

สูตรไดเอทแบบใหม่...ไฉไลกว่าเดิม

ลดความอ้วน


สูตรไดเอทแบบใหม่...ไฉไลกว่าเดิม (Woman's Story)
 
          4 สูตรการไดเอทแบบใหม่ที่สาว ๆ ทั่วโลกกำลังนิยม ซึ่งทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความใส่เป็นพิเศษบวกกับเทคนิคใหม่ ๆ ที่เรานำมาฝากในวันนี้ค่ะ
 
 การไดเอทแบบ Abs Diet Power 12

          เป็นการยึดหลักการทานอาหาร 12 อย่าง อันได้แก่ อัลมอนด์ , ถั่ว , ผักโขม , ผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูป , ไข่, ไก่งวง, เนยถั่ว, น้ำมันมะกอก, ขนมปังโฮลวีต, โปรตีนผง, ราสเบอร์รี่, หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ และถ้าเอาตัวอักษรหน้าชื่ออาหารทั้งหมดมารวมกันก็จะได้คำว่า "Abs Diet Power" พอดีเป๊ะค่ะ

          โดยการกินอาหารทั้ง 12 ชนิดจะช่วยสลายไขมันสะสม และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญ ทำให้ไม่มีไขมันสะสมใหม่เพิ่มเข้ามาในร่างกายของเรา อีกทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะร่างกายเราจำเป็นต้องมีวิตามินร่วมด้วยในการดูดซึมสารอาหารบางตัว และความหวานของน้ำผลไม้ยังช่วยให้คุณไม่หิว จะได้ไม่มีข้ออ้างหาของกินโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญอีกอย่าง ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากนี้สูตรนี้ยังอนุญาตให้สาวที่ชอบปาร์ตี้ สามารถดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ได้อาทิตย์ละ 3 แก้วด้วยค่ะ
 
 การไดเอทตามสูตร Chocolate Diet

          เคล็ดลับของสูตรนี้อยู่ที่คาเฟอีนในช็อกโกแลต ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายได้ ถ้ากินช็อกโกแลตแท้แบบไม่มีน้ำตาล หรือแบบที่มีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 40 จะเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในมื้อนั้นขึ้นอีกร้อยละ 15 และระหว่างวันถ้ากินช็อกโกแลตแบบน้ำตาลต่ำ ๆ ชิ้นเล็ก ๆ สักสองชิ้นก็จะทำให้คุณอยากของหวานน้อยลง
 
Chocolate Diet


 การไดเอทด้วยสูตร Ginger Tea Diet

          การไดเอทด้วยน้ำขิงนั้นเป็นวิธีตามแพทย์แผนอินเดีย ที่ยกย่องว่า "ขิง" คือสุดยอดที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค และอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดี ถ้าจิบระหว่างวันทุกวัน หรือกินหลังมื้ออาหารก็จะช่วยสลายไขมันสะสมได้เร็วขึ้น
 
 การไดเอทด้วยอินเทอร์เน็ต

          หลายคนฟังแล้วก็คงจะสงสัยว่า อินเทอร์เน็ตมีส่วนช่วยในการไดเอทได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะว่าการท่องโลกไซเบอร์ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับการลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังได้เจอเพื่อนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะไดเอทอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้หญิงที่เล่นอินเทอร์เน็ต จะไดเอทได้เร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่เล่นอินเทอร์เน็ตเลย 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

สาธารณสุขเตือนประชาชน ระวัง 6 โรคหน้าร้อน

สุขภาพ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อีกทั้งอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย กระทรวงสาธารณสุขจึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรค ออกประกาศเตือนประชาชนป้องกันโรคติดต่อสำคัญที่มักเกิดในฤดูร้อน ซึ่งพบได้บ่อยทุกปีมี 6 โรค ได้แก่...

          โรคอุจจาระร่วง (Acute Diarrhea) การติดต่อโรคดังกล่าว เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่เชื้อมีปนเปื้อน เช่น อาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม หรืออาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านาน ๆ อาการส่วนใหญ่ของผู้ป่วย มักถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกเลือดปน ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งการดูแลผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงในระยะแรก ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมาก ๆ อาทิ น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์                     

          โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมาก เนื่องจากสารพิษ (Toxin) จากแบคทีเรียตกค้างอยู่ในอาหารที่ไม่สะอาดพอ สุก ๆ ดิบ ๆ หรือบูดเสีย ทำให้เกิดปัญหาท้องเสียได้ สำหรับการรักษาส่วนใหญ่หากเป็นไม่มาก จะถ่ายเป็นน้ำไม่มีมูกเลือด ไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจอยู่ในรูปแบบของการดื่ม หรือการให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง

          โรคบิด (Dysentery) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน เช่น การรับประทานอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อาหารดิบ ๆ สุก ๆ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม ดังนั้นไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เพศไหน วัยใดก็สามารถเป็น โรคบิด ได้ทั้งนั้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดในท้อง ต่อมาจะเริ่มไข้ขึ้น และถ่ายเหลว รวมถึงอาจปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาการท้องเดินเป็นบิด จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน ในคนที่ไม่ได้ทานยา แต่บางรายก็อาจมีอาการกลับมาใหม่ได้อีก

          ไทฟอยด์ (Typhoid) การติดต่อมักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารหรือน้ำดื่ม ซึ่งไข้ไทฟอยด์จะมีอาการแบบเฉียบพลัน รายที่เป็นรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ อาการของโรคจะมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว คลื่นไส้ หัวใจเต้นช้าลง (โดยทั่วไปแล้วเวลามีไข้จะเต้นเร็วขึ้น) หากให้แพทย์ตรวจอาจพบว่าม้ามโต บริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ต้องใช้การตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นโรคนี้จริง ส่วนการป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้วัคซีน ซึ่งมีทั้งในรูปของการรับประทานหรือฉีด แต่การป้องกันไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่ม

          อหิวาตกโรค (Cholera) โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้ออหิวาต์ จะไม่มีอาการหรือมีไม่มาก แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เนื่องจากมีการสูญเสียของน้ำและเกลือแร่ในปริมาณมาก โรคนี้ติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อเข้าไป การรักษาควรทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป กับการถ่ายอุจจาระและการอาเจียน เช่น ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือ แต่หากรุนแรงต้องให้ทางเส้นเลือด ควบคู่กับการใช้ยาปฏิชีวนะ

          โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) โรคติดต่อร้ายแรงจากสัตว์สู่คน ไม่มียารักษาให้หายขาดได้ เพราะโรคดังกล่าวติดต่อจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีแผลอยู่แล้ว หรือน้ำลายของสัตว์กระเด็นเข้าตา ปาก จมูก ทั้งนี้ วิธีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุดก็คือ ให้นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปีละครั้ง เริ่มฉีดเมื่ออายุ 2-4 เดือน และหากถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด หรือข่วน ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง เช็ดให้แห้ง แล้วใส่ยารักษาแผลสด และรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง  

          รวมถึงขอให้ประชาชนระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ ขอยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่าย ๆ ได้แก่ กินร้อน คือกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ หากยังไม่กิน ต้องเก็บในตู้เย็นและอุ่นให้ร้อนก่อนกิน ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม และดื่มน้ำที่สะอาด เช่นน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก  
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
   


สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่