วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เหนื่อยกับรัก ก็ต้องหยุดพักกันบ้าง

ความรัก

ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          มันเป็นเรื่องธรรมดาของ "ความรัก" ที่มีขึ้นมีลง มีสุขสมหวัง มีทุกข์ทรมาน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รักกลายเป็นสีเทาอึมครึม อยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใครมีสักคนรู้สึกเกิดอาการ "เหนื่อย" กับ "ความรัก" ซะเหลือเกิน...

           เหนื่อย...ที่เข้าใจไม่ตรงกัน
           เหนื่อย...ที่ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิม ๆ
           เหนื่อย...ที่ต้องวิ่งตามไปเรื่อย ๆ 
           เหนื่อย...ที่ต้องรอคอย
           เหนื่อย...ที่ต้องเสียน้ำตา
           เหนื่อย...ที่ต้องอภัยครั้งแล้วครั้งเล่า
           เหนื่อย...ที่ต้องคาดหวัง ในสิ่งที่ไม่ได้ดังหวัง
           เหนื่อย...ที่ต้องคอยเอาใจใส่
           เหนื่อย...ที่ต้องแอบรัก
           เหนื่อย...ที่ต้องรักคนมีเจ้าของ

          ซึ่งจริง ๆ แล้วอาการ "เหนื่อย" กับ "ความรัก" มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องพบเจอ หากคิดจะมีความรัก (จริงไหม) เพราะมันคือประสบการณ์อย่างหนึ่งของชีวิต ถึงเราจะสามารถออกแบบความรักได้ และมันคงไม่มีความรักของใคร ที่จะสวยสมบูรณ์แบบอย่างที่วาดฝันไว้ การร้องไห้ เสียใจ เจ็บปวด สุข ยิ้ม หัวเราะ ฯลฯ คืออีกองค์ประกอบหนึ่งที่จะสร้างให้ "รัก" สมบูรณ์ 

          แต่ถ้ารู้สึกว่า "เหน็ดเหนื่อย" เกินกว่าที่ "ใจ" จะรับไหว ก็ต้องมี "หยุด" ให้ "หัวใจ" ได้พักเหนื่อยกันบ้าง...

           หยุด...เพื่อคิด คิดว่ามันคือความผูกพันหรือความรัก
           หยุด...เพื่อถามใจตัวเอง
           หยุด...เพื่อถามใจเขา
           หยุด...เพื่อทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา
           หยุด...เพื่อลองนึกดูว่าเรา "สุข" หรือ "ทุกข์" มากกว่ากัน
           หยุด...เพื่อเว้นช่องว่างให้กันและกัน
           หยุด...เพื่อให้เวลา "หัวใจ" ได้หายเหนื่อย

          และหลังจาก "หยุด" ให้ "หัวใจ" ได้พักแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า "หัวใจ" ของคุณจะกลับมาแข็งแรงหรืออ่อนแอกว่าเดิม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเองเท่านั้น ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ตัดสินใจ อย่าลืมว่า "รักออกแบบได้" เสมอ หากคุณแข็งแรงพอ


ขอขอบคุณกระปุกดอทคอม



สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ไม่มีสัญญาณตอบรัก จากหัวใจที่เรียก

ความรัก

ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เชื่อว่ามีคู่รักหลาย ๆ คู่ เคยตกอยู่ในภาวะ "ขออภัย...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…Sorry there are no signs of acceptance from the number" 

          ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังคุยกันกระหนุงกระหนิงอินเลิฟสุด ๆ อยู่เลย แต่จู่ ๆ พอเข้าโหมดดราม่า...งอน ไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ หึง โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง หรือคุยกันไม่เข้าใจ กลับวางหูโทรศัพท์ใส่ซะงั้น พอโทรศัพท์กลับ "ปิดเครื่องหนี" (ซะงั้น) -_-’ จนทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอารมณ์… 

          อึดอัด...เพราะยังคุยหรือเคลียร์กันไม่จบ
          โมโห...เพราะความไร้สาระ
          เป็นห่วง...เพราะอาจมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น

          ถ้าใครเจอแบบนี้ ก็คงต้องตกอยู่ในภาวะตึงเครียดทั้งนั้น (จริงไหม) เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ใจอยากจะเคลียร์หรืออยากจะคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ดันติดต่อไม่ได้ แถมเผลอ ๆ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนงอนด้วยเรื่องอะไร ซึ่งในทางตรงกันข้าม หากเป็นคุณเองที่ต้องโทรศัพท์ไปหาอีกฝ่าย แล้ว "ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก" บ้างล่ะ คุณจะรู้สึกอย่างไร?

          "การนิ่งเฉย" ยิ่งจะให้อะไร ๆ แย่ลงไปอีก อีกทั้งยังเป็นการทำร้ายความรู้สึกคนที่เรารักแบบสุด ๆ จนบางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้น "เลิกรา" ก็มีถมเถไป 

          หากคุณยังอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่อยากคุย ก็แค่รับโทรศัพท์และพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ "เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่ดีกว่านะ" ... "รอให้ใจเย็นก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันใหม่" หรืออะไรก็ว่าไปตามความรู้สึก เนื่องจากการมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ มันยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ายังได้รับ "ความสนใจ" อยู่นะ จากนั้นคุณทั้งคู่ลองมานั่งนึกถึงปัญหาที่ทำให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง และพยายามคิดถึงตอนที่รักกัน หรือสิ่งดี ๆ ที่ทำมาด้วยกัน จะได้ไม่กลายเป็นเรื่องมากไปกว่านี้ 

          ส่วนฝ่ายที่ถูกงอน ก็ต้องใจเย็น ๆ และลองมองโลกในแง่ดี ประมาณว่า แบตโทรศัพท์หมดพอดีพอดีมั้ง แหม...ช่วงนี้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดีเลยเนอะ ^^ คือให้คิดบวกเข้าไว้ "ความรัก" ของคุณก็จะกลับมาสดใสเหมือนเคยเอง


ขอขอบคุณกระปุกดอทคอม



สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

อย่าทำตัวห่างกัน ในขณะที่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน

ความรัก

อย่าทำตัวห่างกัน ในขณะที่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน (ใยไหม)

          คุณจำได้ไหมในวันที่คุณพูดกับแฟนคุณว่า เราห่างกันสักพักเถอะ ตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไร ... คุณรู้สึกรักเขาสุดหัวใจ หรือรู้สึกไม่อยากจะเห็นหน้าเขามากกว่ากัน? ตอบยากนะ หลายคนคงรู้สึกว่ามันเท่า ๆ กัน ไม่รู้ว่าคิดยังไงกันแน่

          ฉันจะบอกให้ก็ได้ คุณน่ะต้องไม่อยากเห็นหน้าเขามากกว่าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ตัดสินใจแยกกันไปหรอก ถ้ารู้สึกรักเขาสุดหัวใจเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เคยบาดหมางหรือไม่เข้าใจกัน คุณจะใจแข็งกว่านั้น และคุณจะเลือกอยู่...ไม่ใช่เรื่องไป 

          การที่คนเราตัดสินใจห่างกันไป นั่นหมายถึงเริ่มรู้สึกว่าความรักมีปัญหาแล้วใช่ไหม? แต่ยังไม่อยากเลิกกัน แบบว่าทะเลาะเบาะแว้ง โต้เถียงกันมาตลอด จนไม่มีเวลาให้คิดไง ตราบใดที่ยังเห็นหน้ากันอยู่ เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นหน้ากันก็ไม่มีทางรู้คำตอบหรอกว่า ยังอยากคบกันต่อหรือไม่รักกันแล้ว มันมีทางเดียวคือต้องไปคิดเงียบ ๆ คนเดียว ลองไปใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีกันและกัน ไม่คุยกัน ไม่โทรหากัน ถึงจะได้คำตอบที่แน่ใจ

          หรือถ้าในกรณีที่จะเกิดผลดี ต่างคนก็ต่างทบทวนถึงการกระทำที่ไม่ดีของตัวเอง และความดีของแฟนเรา คือคิดแต่ในทางที่ดีขึ้น การที่อยู่ห่างกันแล้วทำให้คิดถึงกัน เห็นค่าของกันและกันมากขึ้น และกลับมาอีกครั้งก็ยังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นอีก ก็มีหลายคนคิดอย่างนั้น และทำได้อย่างนั้น ก็ถือว่าเขาตัดสินใจถูก 

          แต่ขณะเดียวกัน การห่างกันก็มีความน่ากลัวแฝงอยู่ เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดสินใจห่างกัน คือจุดเริ่มต้นของการไม่เห็นหน้ากัน คุณเริ่มอยากพักผ่อนสายตา พักผ่อนหัวใจ ให้มันเย็นสบาย สงบขึ้น ในที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเขาอยู่ เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าในตอนแรก ๆ ที่ชีวิตคุณไม่มีเขา คุณจะมีความสุขมากกว่าเดิมอยู่แล้ว และพอคุณรู้จักความสุข คุณก็เริ่มรู้จักความทุกข์ 

          คุณจะเริ่มคิดแล้วว่าที่ผ่านมา ชีวิตคุณเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี ความรักก็ไม่ดี แฟนก็ไม่ดี ทำให้เครียดและมีความทุกข์ตลอด นี่ถ้าคุณกลับไป ก็แน่นอนล่ะ ต้องเป็นเหมือนเดิมอีกแน่ ถ้ากลับไปคุณจะโง่หรือเปล่า หนีพ้นออกมาแล้ว แต่ยังย้อนกลับไปเจอปัญหาเดิมอีก และหวังไม่ได้เลยว่าแฟนคุณจะดีขึ้นหรือเปล่า ถ้าแย่ลงไปอีกล่ะ จะเป็นยังไง อย่างนั้นสู้ทำใจให้หมดรักเขาไปเรื่อย ๆ แล้วรอเจอผู้ชายให้ที่ดีกว่า เข้าใจกันมากกว่า และทำให้โลกสวยงามกว่าที่เคยเป็นไม่ดีกว่าเหรอ

          เหล่านี้คือสิ่งที่คุณคิด และยิ่งคิดมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งพาตัวเองออกไปไกลขึ้น เหมือนกับว่าความทรงจำที่ไม่ดี มันจะทำให้คุณลืมส่วนดีของความรักไปหมด และยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเข้มแข็งด้วยนะ คุณจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเขาอยู่ตลอดได้อย่างสบาย ๆ คุณจะรู้สึกว่าอยู่คนเดียวได้ มองหาจุดดีของการไม่มีเขาในชีวิต จนลืมเขาไปในที่สุด ในขณะที่ผู้หญิงที่อ่อนไหว ก็จะคอยคิดถึงข้อดีของการคบกัน คิดถึงความดีของคนอีกคน เป็นห่วง มีเยื่อใยอยู่ตลอด ทำให้เลือกที่จะกลับไปหาคนที่ตัวเองรัก 

          ผู้หญิงบางคนใช้เวลาที่ห่างกันเพื่อลืมความเจ็บปวด แต่บางคนกลับใช้ความรู้สึกเจ็บ เป็นกำแพงกั้นไม่ให้ตัวเองเดินย้อนกลับไปหาความรักอีก ความจริงก็ไม่มีใครทำถูกหรือทำผิด มันเป็นทางออกที่สุดแล้วแต่ใครจะเลือกมากกว่า 

          จะขอเตือนไว้อย่างหนึ่งว่า...ตอนที่คุณตัดสินใจว่าจะจบ คุณไม่สนหรอกว่าสิ่งที่กำลังจะจบคือ "ความรัก" แต่เมื่อมันจบลงไปแล้ว และเมื่อคุณขาดมันไป คุณถึงจะเริ่มรู้สึกว่าความรักมีคุณค่ากับชีวิตคุณยังไง และการจบแบบนั้นมันง่ายเกินไปจริง ๆ

          อย่าเชื่อว่าการห่างกันจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเสมอไป
          อย่าเชื่อตัวเองว่าการจบคือสิ่งที่คุณตั้งใจเลือกตั้งแต่แรก
          อย่าตัดสินใจทำแบบนั้น...ถ้ายังไม่ได้กลับไปลองดูอีกสักครั้งว่า "ความรัก" จะดีขึ้นหรือเลวลง 

          ถ้าคุณจะจบ จงบอกตัวเองว่าลองอีกสักครั้ง แค่ครั้งเดียว ถ้าคุณยังเชื่อว่าคุณรักกัน...ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ^^


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ : รักผู้ชาย ต้องรักให้เป็น
เขียนโดย : ณัชชา




สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ถ้ารู้ตัวว่าขาดเขาไม่ได้ ก็อย่าปล่อยเขาจากไปง่าย ๆ

ความรัก

ถ้ารู้ตัวว่าขาดเขาไม่ได้ ก็อย่าปล่อยเขาจากไปง่าย ๆ (ใยไหม)

          คุณจะปฏิเสธไหมว่า เวลาที่แฟนคุณบอกคุณว่า...เขาจะไปจากคุณแล้ว คุณรู้สึกมีเยื่อใยอะไรบ้างเลย เรื่องจริงก็คือ ในนาทีนั้น ผู้หญิงทุกคนจะต้องใจหายอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต 

          คุณกัดฟัน เหมือนที่ฉันเคยกัดฟัน
          คุณมีน้ำตาท่วมอยู่ในใจ เหมือนที่ฉันเคยเป็น

          เพียงแต่ปล่อยให้มันไหลออกมาไม่ได้ เพราะน้ำตามันหมายถึงการเหนี่ยวรั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงใจแข็งไม่เคยทำ เราทำไม่ได้! แต่เมื่อเขาไปแล้ว ทุก ๆ การกลั้นของเราก็จบลง พร้อมกับน้ำตาแห่งความเสียดายอย่างสุดซึ้ง นาทีนั้นเราจะเริ่มสับสนแล้วว่า ทำถูกหรือเปล่าที่ปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ แบบนั้น แต่คำตอบก็ชัดอยู่ในใจแล้วว่า ผิดที่สุดในชีวิต ไม่น่าเลย

          แล้วทำไมจะต้องยินยอมให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะ?

          ทำไมไม่ฝืน ไม่หวง ไม่ห้าม หรือทำอะไรสักอย่าง ทำไมถึงเลือกที่จะเอาชนะเขาในนาทีสุดท้ายแค่นาทีเดียว แล้วสุดท้ายต้องกลายเป็นคนที่พ่ายแพ้ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ทำไมคุณไม่เอาชนะเอาด้วยการไม่ยินยอมให้เขาไป เพื่อให้ชีวิตคุณที่ยังเหลือ ได้เสพสุขกับการมีเขาไปนานที่สุด

          ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ที่ทำให้คุณกับเขาต้องมีปัญหากัน รุนแรงถึงขั้นที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคิดจะเลิกราไป คุณคงรู้ว่าในเวลานั้น ความรักที่คุณมีให้กันมันยังอยู่ และมันยังเปี่ยมล้น เพียงแต่ว่าทุกย่างถูกอารมณ์ปิดกั้น 

          คนที่จะไปแล้วไม่มีใครห้าม ไม่มีใครเหนี่ยวรั้ง เขาย่อมตัดสินใจเด็ดขาดขึ้น เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีค่า หมดความสำคัญแล้ว ถึงคุณจะแค่ทำเป็นเฉยชา เพราะต้องการให้เขาเปลี่ยนใจด้วยตัวของตัวเอง บอกว่าจะไปแต่สุดท้ายก็ไม่ยอมไป เพราะตัดใจจากคุณไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะทำให้คุณรู้สึกดีกว่าการที่เขายอมอยู่ เพราะคุณงอนง้อ ขอร้อง แต่ถ้าคุณเฉยชาได้แนบเนียนเกินไป เขาก็จะเชื่อคุณ เขาจะเชื่อสนิทใจว่าคุณน่ะตัดแล้ว ไม่เอาแล้ว และเกลียดเขามากพอที่จะไม่คิดเหนี่ยวรั้งอีกแล้ว แล้วใครล่ะ...จะกล้าอยู่!

          แค่การตัดสินใจในช่วงเวลาสั้น ๆ มันก็สำคัญพอที่จะตัดสินความสุข ความทุกข์ ของหัวใจคุณ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ : รักผู้ชาย ต้องรักให้เป็น
เขียนโดย : ณัชชา




สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ทำอย่างไรไม่ให้ระยะทาง เป็นอุปสรรคต่อความรัก

ทำอย่างไรไม่ให้ระยะทาง เป็นอุปสรรคต่อความรัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก glitter.kapook.com

          มีใครเชื่อคำนี้บ้างไหม ที่เขาว่า "รักแท้แพ้ระยะทาง" ถ้าเกิดหวานใจของเราไม่ได้อยู่ใกล้กัน บางคู่อาจอยู่คนละจังหวัด ซ้ำร้ายบางคู่อยู่กันคนละจุดบนแผนที่ด้วยซ้ำ จะมีวิธีบำรุงรักษารักที่มีระยะทางกั้นกลางอย่างไร ให้หวานชื่นได้ไม่แพ้คู่ที่เขาได้อยู่ชิดใกล้กัน ลองมาดูคำแนะนำพวกนี้ดีกว่า

  1. กำหนดเวลาที่จะได้พูดคุยจ๊ะจ๋ากัน

          คู่รักระยะไกลหลายคู่กำหนดช่วงเวลาแน่นอนที่จะได้โทรหากัน ถึงแม้ว่าการพูดคุยที่ปล่อยให้เกิดขึ้นเองจะดูลื่นไหล และเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่การกำหนดเวลาที่จะได้พูดคุยกันแน่นอนนับเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับคู่รักที่อยู่ห่างไกลกัน โดยเฉพาะที่อยู่กันคนละเขตเวลา หรือไทม์โซน เพื่อที่แต่ละคนจะได้จัดสรรเวลา ปลีกตัวจากธุระอื่น ๆ เพื่อมารอจิ๊จ๊ะกับคนรัก ได้ตามช่วงเวลาที่ร่วมกันกำหนดไว้ไงจ๊ะ

  2. มีเวลามาหากันบ้าง

          บางครั้งคู่รักก็ต้องพาตัว และหัวใจมาอยู่ใกล้ ๆ กันบ้างเมื่อโอกาสอำนวย อาจสลับกันไปเยี่ยมเยียนให้ถึงถิ่นของแต่ละฝ่าย หรือว่าจะพบกันคนละครึ่งทาง กำหนดจุดนัดพบที่เป็นกึ่งกลางระหว่างสองสถานที่ของคุณ หากอยู่คนละจังหวัด อาจนัดมาเจอะเจอกันสักเดือนละครั้ง หรือหากอยู่กันคนละประเทศ ก็ลองหาช่วงเวลา และสถานที่ที่เหมาะสมกับทั้งสองฝ่ายดูนะ

ห่วงใยไม่เคยห่าง รู้ไว้นะว่าเธอมีฉันเป็นกำลังใจให้เสมอ

  3. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

          เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีตั้งมากมาย ที่ดึงคนที่อยู่กันคนละมุมโลกให้มาอยู่ใกล้กัน ไม่ว่าจะเป็นอินแสต๊นท์เมจเสจเจอร์ หรือการแชททั้งหลาย ที่มีให้เลือกใช้บริการกันหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น msn, yahoo หรือว่า google หรือจะใช้วีดิโอคอลอย่างเช่น Skype สำหรับพูดคุยเห็นหน้าให้หายคิดถึง แถมเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีแข่งขันกันสูงจะตาย เดี๋ยวเดียวก็มีเวอร์ชั่นใหม่ที่ดีกว่าเดิมออกมาให้ใช้กันอยู่เรื่อย ทั้งดี ทั้งฟรี ก็ใช้ประโยชน์ซะให้เต็มที่แล้วกัน

  4. คว้าทุกโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกัน

          สำหรับทุกคู่รัก ทุกเวลา ทุกนาที ที่ได้ใช้ร่วมกันมีค่าเสมอ แม้ยามปกติจะอยู่ห่างไกล แต่เมื่อไรที่สามารถโคจรมาอยู่ใกล้กันได้ ก็อย่าทิ้งโอกาสนั้นไปล่ะ บางคู่รักออกเดทแอบกระทันหันที่สนามบิน ในเมื่อฝ่ายชายเดินทางไปสนามบินได้สะดวก บังเอิญเหมาะเจาะกับสาวเจ้าที่เดินทาง แล้วต้องเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนั้นพอดี หลายคนคงมองช่วงเวลานี้ เป็นการรอคอยที่น่าเบื่อ แต่คงไมใช่สำหรับคู่นี้แน่นอน เมื่อเขาทั้งสองเปลี่ยนช่วงเวลานี้ เป็นเวลาแห่งความรักแสนหวาน หรือจะลองเดทกันแบบไม่เห็นหน้าเห็นตาแต่อยู่ในสถานที่คล้าย ๆ กันก็ได้นะ สมมุติว่าไปกินไอศครีมที่ร้านเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่อยู่คนละเมือง ละเลียดไอสครีมไปก็ลองโทรคุยกับอีกฝ่ายดูซิว่า รสชาติที่เขาหรือเธอกินอยู่นั้นหวานจับใจเหมือนของทางนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ลองสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ก็จะได้ช่วงเวลาสวีทหวานไม่แพ้คู่รักอื่น ๆ เลย

แวะมาถามไถ่ เป็นไงบ้างช่วงนี้ คงงานหนักทั้งปี คนทางนี้เป็นห่วงเธอ

  5. อย่าปล่อยให้เรื่องผิดใจคาราคาซัง

          ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา สำหรับคู่รักที่ได้อยู่ใกล้กัน อาจไม่ใช่เรื่องยากในการปรับความเข้าใจ แค่ส่งสายตาอ้อน ๆ ให้อีกฝ่ายเห็นความจริงใจในแววตา ยิ้มหวาน ๆ กระซิบว่าขอโทษเบา ๆ แค่นี้อีกฝ่ายก็โผเข้ากอดแทบไม่ทัน แต่สำหรับคู่รักระยะไกล หากผิดใจกันเมื่อไหร่ การทำความเข้าใจอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าคู่อื่น ๆ ขึ้นอีกหลายเท่า เพราะคุณไม่สามารถสื่อสารทางภาษากายให้อีกฝ่ายรู้ได้เลย ว่าคุณอยากขอโทษ หรือรู้สึกเสียใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากเพียงใด ทางที่ดีคือพยายามปรับความเข้าใจกันให้เร็ว และควบคุมอารมณ์ให้ดีที่สุด ใจเย็น ๆ แล้ว ค่อย ๆ อธิบายว่าเหตุใดถึงได้อารมณ์เสียเช่นนั้น หากเห็นท่าทางว่าจะอารมณ์รุนแรงทั้งคู่ คุณสามารถตัดบทสนทนาได้ แล้วค่อยโทรคุยอีกครั้ง แต่ห้ามวางหูไปเฉย ๆ เด็ดขาด ความรักจะสะบั้นเอาได้ง่าย ๆ

  6. วางแผนอนาคต

          ข้อนี้ไม่ได้พูดให้วางแผนไปไกลขนาดต้องแต่งงานกัน แต่เป็นการวางแผนร่วมกัน ว่าจะใช้ชีวิตคู่รักระยะไกลในรูปแบบใด ช่วงเวลาทีผ่านมา สิ่งไหนที่ทำแล้วดี หรือไม่ดี อะไรที่อยากให้ปรับปรุงแก้ไข สำหรับคู่ที่ได้เจอกันอยู่บ่อย ๆ คงมีเวลาคุยกันถึงเรื่องพวกนี้อย่างเหลือเฟือ แต่สำหรับใครที่ตัวอยู่ไกลกัน คงต้องพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ในเมื่อตัวอยู่ไกล แต่ไม่อยากจะปล่อยให้ใจต้องเคว้งคว้าง ก็ต้องคุยกันว่าอยากให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปอย่างไรด้วยนะจ๊ะ

รักและห่วงใย แม้จะห่างไกล ก็ยังห่วงใยเหมือนเดิม

          เห็นหรือยังคะ ว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของความรักเสียหน่อย หมั่นบำรุงรักษารักที่มีให้ดี อย่าได้คิดน้อยใจไปว่าคนรักอยู่ห่างแสนไกล ความจริงแล้วมันดีแค่ไหนต่างหากที่คุณสองคนต่างหากันจนเจอ


ขอขอบคุณกระปุกดอทคอม



สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

เขาหรือเราที่เปลี่ยนไป

ความรัก

เขาหรือเราที่เปลี่ยนไป (ใยไหม)

          คุณเคยถามตัวเองดูไหมว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันนะ...ที่จะสามารถเรียนรู้และมั่นใจในคนรักของเราได้ 

          บางคนอาจบอกว่าต้องใช้เวลานานพอสมควรที่เดียวล่ะ ถึงจะตัดสินใจได้ว่า คุณและเขาไปกันได้ด้วยดีหรือเปล่า แต่สำหรับบางคน...อาจตอบว่า "เวลา" ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญเลย ที่เราจะตัดสินใครคนใดคนหนึ่งได้ทั้งหมด บางทีเวลาแค่น้อยนิด ที่ได้ทำความรู้จักกัน ก็ทำให้เขาสามารถตอบตัวเองได้แล้วว่า คน ๆ นี้นี่ล่ะ คือคนที่ตัวเองอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต 

          ในความคิดเห็นส่วนตัว ฉันรู้สึกเห็นพ้องด้วยเช่นกันว่า "เวลา" ที่มากหรือน้อย อาจไม่ได้มีผลให้เรารู้จักเขาคนนั้นมากขึ้นเสมอไป แถมบางครั้งยังเชื่อในคำพูดเหน็บแนมแกมตลกที่เคยได้ยินมาอีก

          "คนที่คุณรักนั้น จะกลายเป็นคนใหม่ไปทันที ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังคืนแต่งงาน…!"

          นั่นแปลว่า เวลาที่เราใช้ศึกษากันและกันมาก่อนหน้านั้น อาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ เคยอ่าน Forwarded mail ชิ้นหนึ่ง พูดถึงองศาที่แตกต่างระหว่างผู้หญิง และผู้ชายในทำนองว่า ความรักของผู้ชายเริ่มต้นด้วยคะแนนเต็มร้อย ในขณะที่ความรักของผู้หญิงเริ่มต้นจากศูนย์...เมื่อผู้ชายเริ่มรักผู้หญิงของตัวเอง ทุกอย่างที่เป็นเธอจะดูสวยงามและเพียบพร้อม ไม่มีอะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่พอใจ 

          วันเวลาผ่านไป...เมื่อความเคยชินเข้ามาแทนที่ สิ่งที่เห็นอยู่ทุกวัน อาจกลายเป็นสิ่งน่ารำคาญ เธอไม่สวยงามและไม่น่าทะนุถนอมเหมือนแต่ก่อน ทำไมเวลาจับต้องเธอแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิม ทำไมนิสัยไม่ดีของเธอ ถึงได้ผุดขึ้นมามากมายแบบนี้ เขารับเธอไม่ได้อีกต่อไป และทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของเธอ 

          ...ในขณะที่ความรักของผู้หญิงเริ่มต้นจากศูนย์ เขายังมีสิ่งที่เธอคิดว่าเธอไม่ชอบ ทุกอย่างของเขาก็ไม่ได้น่าประทับใจนัก แต่เมื่อเธอตัดสินใจลองคบหาเพื่อที่จะศึกษาสิ่งดีในตัวเขา เวลาผ่านไป...ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดบนโลกนี้ คะแนนที่มากมายมันเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร ถึงขั้นนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาช่างดูดี และน่าหลงใหล จนรู้สึกว่าเขาแทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวในชีวิต ที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ เธอพร้อมจะสละทุกอย่างที่มี...เพื่อจะทำให้เขาและเธอได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

          วันนี้...ความรักของเธอเกินร้อย ในทางกลับกัน ความรักของเขากลับลดลงจนเหลือศูนย์ ความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจของคนทั้งคู่ ที่เหมือนกันคือคำถามที่ว่า...ทำไม อีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไป

          หากมองประเด็นนี้ว่า ตัวแปรอยู่ที่ "ความเปลี่ยนแปลง" แล้วฉันคิดว่า คงเร็วเกินไปที่จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คนเรานั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และนี่คือสัจธรรมที่แท้จริงบนโลกใบนี้เสียด้วย

          "หัวใจ" ของคนก็เป็นแค่ก้อนเนื้อเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ถ้าจะให้เปรียบก็คงเหมือนกับของเหลว ที่สามารถแปรเปลี่ยนได้เสมอตามภาชนะที่ใส่มัน หัวใจที่มีความรัก อาจมีพลังแฝงทำให้เรายอมรับได้กับทุกเรื่องก็จริง แต่บางทีเราอาจไม่รู้ว่า ที่บอกยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้นั้น...อาจไม่ใช่ และไม่ได้เกิดจากการที่เราสามารถปรับตัวได้อย่างแท้จริง ตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะความบังเอิญเราได้ "มองข้าม" สิ่งเหล่านั้นไปมากกว่า 

          เพราะความใหม่...ความสวยงาม..น่าหลงใหล มาบดบังความเป็นจริงไปหมด แต่เมื่อความเคยชินเข้ามาแทนที่ ความใหม่กลายเป็นความเก่า ความสวยงามน่าหลงใหล กลายเป็นความเบื่อหน่าย...เดิม ๆ เราจึงยอมพาตัวเองกลับมาสู่ตัวจริงเสียงจริงที่เป็นเรา และอดที่จะตั้งคำถามอีกครั้งไม่ได้ว่า...ทำไม...ทำไม...และทำไม

          แต่ถ้าจะมองความแตกต่างของชายและหญิง โดยอาศัยข้อมูลที่ผ่านการวิจัยมาบ้าง เราอาจต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า ความแตกต่างเหล่านี้...บางทีมันก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นจากธรรมชาติด้วยเช่นกัน ปกติแล้วสำหรับผู้หญิงเรานั้น มีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักได้ช้ากว่าผู้ชายอยู่แล้ว จากการศึกษาของนักมานุษยวิทยาอเมริกัน มีข้อมูลที่ระบุว่า ผู้ชายมักจะตกหลุมรักได้เร็วกว่าผู้หญิง ทั้งนี้ เป็นเพราะพวกเขาใช้สายตาได้ดีกว่า และระบุได้อย่าวรวดเร็วว่าอะไรที่ตัวเองต้องการ ในขณะที่ผู้หญิงจะระมัดระวังมากกว่า เนื่องจากพวกเธอเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งท้องให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร และนี่ก็คงเป็นพิมพ์เขียวทางพันธุกรรมที่สำคัญชิ้นหนึ่ง ที่เราน่าจะต้องรู้ไว้ด้วยเช่นกัน 

          ในความเป็นคนรักนั้น นอกเหนือจากการสื่อสารที่ดี และการปรับตัวเข้าหากันแล้ว ฉันเชื่อว่า...หากเราลดความคาดหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป เราคงมีช่องว่างระหว่าง "ความเป็นจริง" กับ "ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ" ไว้ให้พัฒนาความสัมพันธ์ได้อีกมาก 

          การลดความคาดหวังนี้ หมายถึงการยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ในกรณีที่เขามีบางอย่างที่ปรับตัวเองไม่ได้ เหมือนน้ำที่ยังไม่เต็มแก้ว และเราก็ต้องอยากให้ปริมาณของน้ำเพิ่มขึ้น ๆ แต่น้ำก็ไม่เพิ่มขึ้นสักที ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่น้ำน้อยเกินไป แต่อาจอยู่ที่เราใช้แก้วใหญ่เกินไปก็ได้ ถ้าเราลดขนาดของแก้วแห่งความคาดหวังให้พอดีกับน้ำที่มีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ความสุข และความรักที่กำลังก่อร่างสร้างอยู่ กลายเป็นเรื่องเดียวกัน...แม้จะมีคำกล่าวว่า

          "การได้มานั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ การรักษามีมันเอาไว้"

          แม้จะเป็นความจริง...แต่ฉันก็เชื่อว่า ยังมีวิธีที่จะดูแลรักษาความรักนั้นให้อยู่กับเรานาน ๆ เช่นกัน มีคำพูดเปรียบเทียบการที่คนสองคนไม่สามารถเข้าใจกันและกันได้นั้น เป็นเพราะในจิตใจเขามัวแต่สร้าง "กำแพง" แทนที่จะสร้าง "สะพาน" แต่ก็คงจะมีบ้างที่เราอาจเคยรู้สึกว่า...ไม่ยุติธรรม หากเราต้องเป็นสะพาน เพื่อคอยเชื่อมไปหาอีกฝ่ายหนึ่งข้างเดียวตลอดเวลา ในทีนี้ คำว่า "สะพาน" จึงอาจไม่ใช่ความหมายที่ดีที่สุด เพราะมันยังมีนัยของความแบ่งแยกกันระหว่างฝั่งสองฝั่ง แต่ถ้าเราจะนำมันมาเชื่อมโยงกับสัมพันธภาพระหว่างคนสองคนแล้ว และสองฝั่งหมายถึงความแตกต่างระหว่างเรากับเขา 

          เมื่อเราต่างสมัครใจเรียกกันว่า "คู่รัก" แล้ว นั่นก็หมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งไม่ใช่สอง หากเรายินดียอมรับและให้อิสรภาพกับสิ่งที่ไม่ใช่เรา หรือแตกต่างออกไปบ้าง มันก็จะไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ความแตกต่าง" เลย แต่เราจะเรียกมันใหม่ว่า "อีกส่วนหนึ่ง" ของชีวิต หรือ "ประสบการณ์ใหม่" ของเราเท่านั้น และเราคงไม่ใช่สะพานอีกต่อไป...แต่จะเป็นปลาที่สามารถแหวกว่าย จากน่านน้ำหนึ่งไปอีกน่านน้ำหนึ่ง ได้อย่างสะดวกสบาย 

          ชีวิตคนเรานั้น มีทั้งช่วงเวลาที่ยาก และง่าย ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา แต่ทั้ง "ความง่าย" และ "ความยาก" เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เริ่มต้น และจบลงได้ที่ "ใจ" ของเราเองทั้งนั้น ในทฤษฎีของความรักก็เช่นกัน...การที่เราได้เรียนรู้และเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้งนั้น ย่อมหนีไม่พ้นเงื่อนไขเดียวกันกับที่ได้กล่าวมาแล้ว 

          **ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ ปาฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของ ติช นัท ฮันห์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ : หาเหตุผลให้ความรัก
เขียนโดย : ปูปรุง




สุดท้ายผมขอฝากเรื่องข้อต่อและกระดูกไว้ด้วยครับ
เพราะปัจจุบันนี้โรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก
เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวผมไม่อยากเห็นเพื่อนๆ
หรือคนที่เพื่อนๆรักป่วยเป็นโรคเหล่านี้
เพราะมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้เลยนะครับ
ยังไงผมก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ด้วยความห่วงใยจากผม
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่าและข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่